วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ซื่อ สื่อ สัตย์ สัจจ์ สัตว์

ซื่อสัตย์  ดีประเทศกำลังขาด
สื่อสัจจ์ นี่ก็ดี ขาดเหมือนกัน
สื่อสัตว์ นี่ไม่ดีแต่มีเยอะ
ซื่อสัตว์ นี่ที่เค้านึกว่า ปชช.เป็น เชื่องเชียว



เกิดมาหลายปีดีดัก เพิ่งจะรู้เมื่อวานนี้ว่า การมีเงินคำ้ประเทศมากๆ มันไม่ดี ต้องมีน้อยๆ ถึงจะถูกต้อง 
เฮ้ย... จริงดิ

การขึ้นภาษีน้ำตาล เพราะรัฐเป็นห่วงสุขภาพ..
เฮ้ย .. จริงเปล่า

การที่จับแพะ แกะ ไปเข้าคุก เพื่อทำให้ระบบยุติธรรมมันเดินไปได้ ถ้าไม่ใช่ ก็ไปบอกที่ศาล.. 
เฮ้ย...จริงเหยยออ

นี่มันยุคอะไรละเนี่ย...  
เมื่อกลางวันมองดูอาหารที่ทาน ยังนึกว่า นี่เรากำลังทานหญ้า หรือเปล่า ก็ไม่ใช่ ทำไมเค้าคิดว่าเราเป็นตัวอะไร 



ซื่อสัตย์
ประเทศนี้ กำลังป่วย อย่างรุนแรง อาจจะขั้นสุดท้ายแล้ว 
ยาแรงที่จะต้องให้กินก็คือ  ความซื่อสัตย์  ถ้าแยกผิด ถูก ชั่ว ดี ไม่ออก ทำแล้วบอกไม่ทำ กินแล้วบอกไม่กิน แล้วก็แถๆๆๆ แซดๆๆ โยนไปทางโน้นทางนี้ 
แล้วมันจะแก้ปัญหากันได้อย่างไร . 

ต้นของปัญหาก็พยายามเลี่ยง เบี่ยงประเด็นไปหมด 

แล้วพวกที่ต้องมาทำหน้าที่รับช่วงต่อ ก็คือ สื่อ ซึ่งก็มีสองพวก
สื่อสัจจ์   กับ สื่อสัตว์



สื่อสัจจ์
พวกที่เราอ่านแล้ว ดูแล้ว ฟังแล้ว เชื่อได้สนิทใจ ขอเรียกว่า สื่อสัจจ์ คือ คำพูด บทความ ข้อเขียน เป็นเหมือนสัจจธรรมที่เที่ยงแท้ ผ่านการคัดกรอง สืบค้น จนได้ความเป็นจริงมาแล้ว จริงนำเสนอ หรือ เสนอภาพ ที่มันกำลังเป็นไป โดยไม่ไปชี้นำ หรือใส่ความ




สื่อสัตว์
กับอีกพวก คือ สื่อสัตว์ .  ทำตัวเยี่ยงสัตว์ หิวกระหาย ใครให้อะไร ก็ดื่มกิน ก่อนที่จะคิดว่า ตัวเสนออะไรไป มันจริงขนาดไหน แล้วจะทำให้ใครเสื่อมเสียอะไรไหม ไม่สน สนเรื่องเดียว ตัวมีกินมีใช้ไปก่อน อย่างนี้สังคมก็ลำบาก เพราะ ก็จะมึนงง กับข่าวสารที่ สื่อสัตว์ๆ พวกนี้เสนอมาตลอดเวลา 



ซื่อสัตว์
แต่ที่สำคัญที่สุด ก็คือ ผู้ปกครองที่ไม่ได้ยึดโยงกับประชาชน  ประชาชนไม่สามารถให้คุณให้โทษอะไรได้ การกดขี่ ข่มเหงก็เกิดขึ้น สายตาที่ผู้ปกครองมองเห็นก็คือ ประชาชนเป็นเสมือนสัตว์เชื่องๆ ตัวหนึ่ง ซื่อๆ เชื่องๆ  จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด . จะเอาไงก็ได้

บอกว่าจ่ายตังค์ค่าภาษีเพิ่มมา จะได้สุขภาพดีขึ้น ...  
ค่าน้ำมัน ขึ้น จะได้เดินทางไปไหนก็จะได้วางแผนล่วงหน้า  
แก๊ส ขึ้น จะกินอะไร ก็คิดสักหน่อย จะได้ไม่อ้วน

โห รัฐที่ดูแลประชาชนดีอย่างนี้ อยากให้อยู่นานแสนนานนนน
จริงๆ เล้ยยยย 
พ่อง..มหาจำเริญ


ช่วงนี้สุขภาพดีมาก กินแต่หญ้า

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2560

เรื่องน่าทึ่งของพระพุทธเจ้า

เก็บตกมาจากไลน์ เป็นเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมา แต่ใครจะจำได้ ได้แต่รู้ว่ามีแบบนี้อยู่ในพระไตรปิฏก วันนี้มีคนเอามาเขียนและเรียบเรียงไว้ นับว่าเป็นคุณแก่มวลมนุษย์มาก ที่ได้ประกาศให้โลกได้รับรู้ คุณของพระพุทธเจ้า

########################################


เรื่องน่าทึ่งของพระพุทธเจ้า..

..ก่อนที่วิทยาศาสตร์ จะค้นพบว่า อะตอมเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดในโลก เชื่อหรือไม่ว่า พระพุทธเจ้าทรงเคย อธิบายเรื่องของปรมาณูไว้ โดยได้กล่าวไว้ว่า

1 ธัญญามาตร (ขนาดเล็กของเมล็ดข้าว)
ประกอบด้วย 7 อูกา (ศรีษะของตัวเล็น)

1 อูกา ประกอบด้วย 7 สิกขา (รอยขีดเล็กๆ)

1 สิกขา ประกอบด้วย 37 รถเรณู (ละอองเกสรดอกไม้)

1 รถเรณู ประกอบด้วย 36 ตัชชารี (ละอองรังสีในแสงแดด)

1 ตัชชารี ประกอบด้วย 36 อนู (อนุภาคขนาดเล็ก)

1 อณู ประกอบด้วย 36 ปรมาณู

1 ปรมาณู แบ่งแยกไม่ได้อีก
เพราะหากแยกต่อไป จะหมดสภาพของสารนั้น


..นักวิทยาศาสตร์ เพิ่งจะรู้ว่าโลกกลม มีแผ่นดินเพียง 1 ใน 4 นอกนั้นคือผืนน้ำ และลอยอยู่ ในห้วงอวกาศ เมื่อตอนที่ส่งดาวเทียมขึ้นไปสำรวจ เพียงไม่นานมานี้

แต่พระพุทธเจ้าเคยตรัส ไว้ในพรหมชาลสูตร เมื่อนานนับพันปีมาแล้วว่า

"โลกนี้กลมเหมือน ผลมะขามป้อม"

แถมยังอธิบายถึงการมีอยู่ของโลกไว้ ผ่านการสนทนากับพราหมณ์ มีใจความตอนหนึ่งว่า..

"โลกตั้งบนสิ่งใด?" (คำถามของพรามณ์)
"บนแผ่นน้ำ" (พระพุทธเจ้า​ ทรงตอบ)

"แผ่นน้ำตั้งอยู่บนสิ่งใด?" (คำถามของพรามณ์)
"บนลม" (พระพุทธเจ้าทรงตอบ)

"และลมตั้งอยู่บนสิ่งใด?" (คำถามของพราหมณ์)
"บนอวกาศ" (พระพุทธเจ้าทรงตอบ)

"และอวกาศตั้งอยู่บนสิ่งใด?"(คำถามของพราหมณ์)
"มากเกินไปเสียแล้ว พรามณ์เอ๋ย อวกาศมิได้ตั้งอยู่ บนสิ่งใดทั้งสิ้น ไม่มีสิ่งใด ค้ำอวกาศไว้เลย" (พระพุทธเจ้าทรงตอบ)



...แต่สิ่งที่ทำให้ไอน์สไตน์ และนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก ต้องอึ้ง ทึ่ง งง ก็คือ สิ่งที่พระพุทธเจ้า กล่าวเอาไว้ว่า

"เวลาในโลกมนุษย์ สวรรค์ นรก ไม่เท่ากัน"

ซึ่งวิทยาศาสตร์ เพิ่งจะพิสูจน์ได้โดย ทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของไอน์สไตน์ว่า เวลาในแต่ละที่ ไม่เท่ากัน แม้กระทั่งบนยานอวกาศ และดาวแต่ละดวง

โดยเฉพาะในหลุมดำ (Black Hole) ที่มืดมิดที่สุด แสงโดนดูดจนหมดสิ้น จะมีเวลานานที่สุด



มีนักวิทยาศาสตร์ชาวพุทธคนนึง ได้นำแผนที่ ของหลุมดำ (Black Hole) ทุกๆที่ มาทาบกับ เรื่องราวของภพทั้งสาม คือ เขาพระสุเมรุ นรก สวรรค์ และ โลกมนุษย์

ผลจากการทาบแผนที่ พบว่า ตำแหน่งของหลุมดำ (Black Hole) ตรงกับตำแหน่ง ของขุมนรกต่างๆพอดี
และตรงกับคำของ พระพุทธเจ้า ที่ตรัสไว้ว่า เวลาในนรก ยาวนานที่สุด (ซึ่งทำให้แสง เดินทางได้ช้าที่สุด ตามทฤษฎีสัมพัทธภาพ ของไอน์สไตน์)

นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังรู้ ถึงการเกิด และอายุขัย ของมนุษย์ตั้งแต่เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว ก่อนที่ องค์​การอนามัยโลก จะวิเคราะห์ไว้ว่า มนุษย์ยุคปัจจุบัน มีอายุเฉลี่ยเท่ากับ 75 ปี

ก็ไม่น่าเชื่อว่า จะพ้องกับ คำสอนของ พระพุทธเจ้าที่ว่า
ทุกๆ 100 ปี อายุมนุษย์จะลดลง 1 ปี


ดังนั้น มนุษย์ผู้ซึ่งเคยมี อายุเฉลี่ย 100 ปี เมื่อ 2,500 ปีที่แล้ว ก็ค่อยๆลดอายุเฉลี่ยลง = 2,509/100 = 25 ปี จนเหลือ 75 ปีในปัจจุบัน...

น่าเสียดายชาวพุทธส่วนใหญ่ไม่รู้จักพุทธศาสนาจากการศึกษาอย่างจริงจัง!!!!!!!

    ขอขอบคุณ. เอวาฟาร์ม888.

เปรียบเทียบกับ อะตอมรุ่นปัจจุบัน
http://www.rmutphysics.com/physics/oldfront/electron-structure/electron-structure.htm

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559

เสือ ควาย หมา สะอาด ระเบียบ

วันนี้มีคนโพสเรื่องนี้ ในไลน์ เขียนถึงการบริหารงาน ลักษณะที่เราพบเห็นโดยทั่วไป ตามออฟฟิศไหนๆ ก็มี จะเปรียบเทียบอย่างไรให้เห็นภาพชัดเจน

บทความนี้ยก สัตว์สามประเภทที่มีนิสัยแตกต่างกัน มาเป็นตัวเปรียบเทียบ ลองอ่านดูเผื่อได้ข้อคิด


เนื้อหาบทความ


3 วิถีชีวิต

ถ้าใช้ "เสือ" ทำงาน ต้องให้เขามีพื้นที่ แล้วปล่อยไปล่าเหยื่อมาให้ ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องกำหนดวิธี เพราะพวกเขาคือนักล่า

ถ้าใช้ "ควาย" ทำงาน ต้องให้หญ้าเขาให้พอ ต้องบังคับแล้วใช้ไถนา พวกเขาอึด แต่ต้องจูง

ถ้าใช้ "หมา" ทำงาน ต้องให้อาหาร ให้ความสนิทสนม ให้เห่าและเฝ้าบ้าน พวกเขาภักดี ประจบ และจับผิดเก่ง

คนไม่เข้าใจ
จะใช้เสือเยี่ยงควาย
จะใช้ควายเยี่ยงหมา
จะใช้หมาเยี่ยงเสือ

เสือไม่เลียปากนาย ไม่ประจบ และไม่ไถนา
ควายไม่เฝ้าบ้าน ไม่ล่าเหยื่อ และไม่ประจบ
หมาไม่ไถนา ไม่ล่าเหยื่อ แต่ชอบเลียปากนาย

... เสือส่วนมากเมื่อเติบโต มักจะเป็นนายคน หรือเจ้าของกิจการ เพราะมีความเป็นตัวของตัวเองสูง

ควายส่วนมากไม่เติบโต เพราะไม่คิดนอกกรอบ และไม่สร้างสรรค์ และมักถูกหมาดูหมิ่นและหลอกใช้

หมาส่วนมากเติบโตในองค์กร  แต่ไม่สามารถสร้างอาณาจักรของตัวเองได้ ต้องพึ่งเสือและควายในการเติบโต

เสือที่ฉลาดและมองการณ์ไกล จะเอาควายไปด้วย  แต่ถ้าเป็นเสือบ้าอำนาจ มักจะเอาหมาไปด้วย

#โกวเล้งดิจิตอล
#CopyจากLineกลุ่มเพื่อน
Cr. Sorchote Ambhanwong

----------------<@>--------------

อ่านแล้ว ก็เห็นภาพทั่วๆไปใน ที่ทำงานทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นราชการ เอกชน หรือ งานส่วนตัว จะเล็กจะใหญ่ ในบ้าน ร้านค้า ก็มีให้เห็นทั่วไป

ถ้าเราเป็นเจ้านาย หรือเจ้าของกิจการ อยากได้คนแบบไหนมาไว้ทำงานให้เรา  หันไปทางไหน ก็มีเขี้ยวเล็บ มีเขา แถมมีเราอีกด้วย จะทำงานกันไปได้อย่างไร แข้งขา ก็มีหมาเลียแผล่บๆ ตลอด คงต้องไปฉีดยารอบสะดือบ่อยๆ 

ไม่ไหวแน่

ในมุมของหัวหน้า เราจะใช้คนแบบไหนดี

ใช้เสือ  ก็เหนื่อยหน่อย ทั้งดุ ทั้งกัด แต่มีผลงาน สร้างผลงานตลอดเวลา
ใช้ควาย ช้าแต่ชัวร์ เรื่อยๆ กระตุกทีก็เดินที ปล่อยเชือกหย่อน ก็หยุดยืนดูเพื่อความรอบคอบ ก็ต้องขยันไปกระตุกหน่อย


ใช้หมา  มันก็ดีเอาไว้เวลาหงุดหงิด ไอ้เสือ กับ ไอ้ควาย ก็มาลงที่ไอ้หมา มันอย่างมากก็กระดิกหาง เลียหน้าเลียปากไปเรื่อย แต่จะเอางานเอาการก็คงต้องเลือกงานง่ายๆหน่อย อย่าไปให้คุมงานอะไร เดี๋ยวมันไปกัดเค้า นอกจากจะเสียงานแล้ว จะเสียคนอีก

ที่ทำงานนี้คงไม่เหมาะกับการใช้ชีวิตสักเท่าไรนัก ทุกคนตั้งระบบป้องกันภัยกันและกัน


ในมุมของ เสือ
เบื่อจะใช้ไอ้ควายเหลือเกิน ช้าเป็นเรือเกลือ  ไม่บอกก็ไม่ทำ สู้ทำเองจะง่ายกว่า  นี่ถ้าไม่แบกอะไรไม่เอามันมาด้วย
ส่วนไอ้หมา ไปไกลๆ นั่นแหละดี ชอบฟ้อง ให้เดือดร้อน

ในมุมของควาย
พี่เสือ เค้าเก่งนะ ไวด้วย ฉลาดดี แต่กะหัวหน้าเหมือนไม้เบื่อไม้เมา
พี่หมา  นี่วาทศิลป์ดีนะ หัวหน้าว่าดุๆ พี่เค้ายังเอาอยู่ ไม่รู้พูดอย่างไง

ในมุมของหมา
ไอ้เสือมันนึกว่ามันเก่งมากหรือไง ทำอะไรก็ต้องคิดถึงเพื่อนร่วมงานมันบ้าง ไม่ใช่ มันอยู่คนเดียว มันทำคนเดียวคิดว่ามันจะมาถึงจุดนี้เหรอ  ไม่ได้เราคอยรายงาน คิดว่างานจะไปได้เหรอ
ไอ้ควายก็ดีแต่ คอยเดินตาม คิดอะไรก็ไม่เป็น 


ทุกมุมก็มองไม่ค่อยจะตรงกันสักเท่าไหร่ 
คนทั้งหลายก็อย่างนี้ ต่างคนต่างมอง แต่ว่า ที่จริง 
ไม่ว่าจะ เสือ ควาย หมา บางทีก็อาจจะอยู่ในตัวคนๆเดียวกันเลยก็มี
เช้าเป็นเสือ สายเป็นหมา ตกเย็นเป็นควาย  อาจมีแถม เป็นหมี เป็นแรดยามดึก อีกต่างหาก

อันนี้ก็แล้วแต่ใครจะแยกย่อยชีวิตอย่างไร


แล้วจริงๆ นิสัย คนนี่คืออะไร



คิดบ่อยๆ
ทำบ่อยๆ
ติดกลายเป็นนิสัย
พัฒนานิสัยข้ามชาติ กลายเป็น สันดาน

คิดบ่อยๆ  คนเรามีเรื่องอะไรให้คิดบ้าง ในทางพระศาสนาแบ่งความคิดหลักๆไว้ หกอย่างนี้ 


1 พวกราคจริต คิดแต่เรื่องความสวยความงาม หน้าตา ผิวพรรณ อ้วนๆ ผอมๆ ใหญ่ไป เล็กไป คิดเรื่องคู่ครอง เรื่องความรัก ความใคร่

2. พวกโทสจริต ที่จริงก็มีสติปัญญาทำงานทำการได้ แต่ความคิดไม่ค่อยไตร่ตรองให้รอบคอบ ใครทำอะไรให้ก็มักจะโกรธก่อน พอโกรธก็ขาดสติ มีปัญหาตามมา


3. พวกโมหจริต ความคิดพวกนี้เหมือนคนเดินในหมอก หลอกตัวเองไปวันๆ ไม่เคยคิดออกจากหมอกนั้น พอใจอะไรไม่พอใจอะไร ก็มีวิธีสร้างเรื่องราวมาเป็นเหตุผลที่ตนเองพอใจ แต่อาจจะไม่ใช่เรื่องจริงที่ปรากฏ

4. พวกวิตกจริต พวกนี้คิดมาก ตัดสินใจไม่เด็ดขาด  คิดจนเป็นโรคประสาทไปเลย เรื่องยังไม่เกิดก็คิดกันไปได้ คิดนำไปยี่สิบปียังคิดได้ ไม่ใช่คิดแบบวางแผน แต่คิดว่า ถ้าทำแล้วมันอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็มานั่งฟูมฟาย หรือไม่ก็ไม่กล้าที่จะทำสิ่งใดเลยเพราะกลัวที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ตนคิดไว้

5. พวกสัทธาจริต ความคิดมีศรัทธานำ ถ้ามีน้อยไป ก็เรียกว่าดื้อ แต่มีมากไปก็เรียกว่า งมงาย ดังนั้น ความคิดศรัทธาเรื่องใดๆ ถ้าได้กัลยาณมิตรที่ดี นำไปดี ก็ดีไป นำไม่ดี ก็เสียหาย

6. พุทธิจริต เป็นคนเจ้าปัญญาเจ้าความคิด มีความฉลาด มีปฏิภาณไหวพริบ การคิดการอ่าน ความทรงจำดี คนพวกนี้คิดเป็นเรื่องๆ ไป คิดทีละเรื่อง มีปัญหา ก็แก้กันไป



จากความคิดก็มาสู่การกระทำ  ทำบ่อยๆ ทุกวันๆ ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน ทำอะไรกันบ้าง   สิ่งเหล่านี้แหละที่จะกลายเป็นนิสัย

แล้วสมรภูมิการเกิดหรือการแก้นิสัย อยู่ที่ไหน? ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน ที่ไหน..?

อยู่ที่ๆเราใช้ชีวิตนั่นแหละ  ห้องนอน ห้องน้ำ ห้องแต่งตัว ห้องครัว ห้องทำงาน  
ตื่นนอนตั้งแต่เล็กมา คุณพ่อคุณแม่ ฝึกให้ พับผ้า เก็บที่นอน หรือไม่  จากวันนั้นถึงวันนี้ มีอะไรเปลี่ยนแปลงไหม อายุปูนนี้ยังทำเหมือนตอนเป็นเด็กชาย เด็กหญิงหรือไม่ มีอะไรมันเปลี่ยนไหม... 

การทำกิจวัตรส่วนตัว ถูกสุขลักษณะหรือไม่ ดีพอไหม เคยมีการพูดคุย การสอนกันหรือไม่ ว่าทำอย่างไรดีที่สุดต่อสุขภาพ

แต่งตัวอย่างไร ถึงเหมาะกับสถานการณ์แบบไหน สถานที่แบบไหน มีชุดแค่ไหน ถึงพอดี ไม่น้อยไม่มากเกิน 


ที่ครัว ที่เติมพลังงานให้ร่างกาย ก็ฝึกนิสัยการรู้จักประมาณ เติมมากก็มากโรค เติมน้อยก็ไม่พอ 

ที่ทำงานก็เป็นที่เราใช้ชีวิตวันนึงหลายชั่วโมง จะดีจะร้ายการปฏิบัติต่อคนอื่น ก็ตรงนี้

หลักๆ ทุกที่ถ้าเราเน้นไปที่ มีความสะอาด มีความเป็นระเบียบ  
เพราะนิสัยที่รักสะอาด และรักความเป็นระเบียบนั้น จะมองเห็นเรื่องราวที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังเรื่องราวต่างๆ ได้ลึกซึ้งถูกต้องมากกว่า 

เพราะการฝึกให้ทำความสะอาด ก็จะเห็นถึงที่มาของความไม่สะอาดนั้นๆ มาจากไหน ก็เห็นผล สาวไปถึงเหตุ  จากของหยาบ ไปสู่ของที่ละเอียด 

ทำไปบ่อยๆ จากนิสัย ก็จะติดข้ามภพข้ามชาติ เป็นสันดาน ติดตัวไป
ไม่ว่า ตอนนี้ จะเป็นเสือ เป็นควาย เป็นหมา 
ถ้าเสือสะอาด เสือระเบียบ  
ควายสะอาด ควายระเบียบ
หมาสะอาด หมาระเบียบ

ที่สุดแล้ว  ความคิดคำพูด การกระทำที่ไม่ดี  ก็จะค่อยๆ จางหายไป 


ที่ทำงานของเรา บ้านของเรา รอบตัวเราถ้าเราช่วยกันปรับปรุงให้ได้อย่างนี้จะดีไหม

พี่เสือขยัน เอาการเอางาน รักพวกพ้อง ปกป้องนาย เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม 
พี่ควาย นายว่าไงก็ตามนั้น ทำงานไม่มีหยุดพัก 
พี่หมา รู้จักรายงาน รู้จักจับข้อดี ของเพื่อนร่วมงาน ให้กำลังใจเก่ง เข้ากับนายได้ เข้ากับเพื่อนพ้องน้องพี่ได้ดี

เมื่อมีคนนิสัยอย่างไร รอบๆ ตัวเรา 
ด้วยความเป็นกัลยาณมิตรของเรา 
ก็ต้องพยายามทำให้ความเป็นสัตว์ร้ายในตัวคนเหล่านั้นหมดไป เหลือแต่ความประเสริฐ เพียงส่วนเดียว   
ผ่านหลักสูตร สะอาดระเบียบ ในสมรภูมิห้าห้องชีวิต

วิ.24 กย. 59

วันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559

มหัศจรรย์Oneพระ



มหัศจรรย์Oneพระ



วันเพ็ญ 15 ค่ำ พระจันทร์กระจ่างฟ้า 

ท้องนภาในยามค่ำคืนที่เคยมืดมิด
ยามนี้สว่างนวลตามองเห็นสิ่งต่างๆ ที่อยู่ในกลางแจ้งได้ชัดเจน

อากาศเย็นสบายริมฝั่งน้ำที่ไหลเอื่อยๆ สะท้อนแสงนวลระยิบระยับ

บรรพชิตรูปหนึ่งมีแสงเรืองรองขยายเป็นรัศมี
นั่งสงบนิ่งอยู่ใต้ควงไม้อัสสัตถพฤกษ์

"เมื่อใด ธรรมทั้งหลายปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ 
เมื่อนั้น พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดมารและเสนามารเสียได้ 
ดุจอาทิตย์อุทัยกำจัดมืดทำอากาศให้สว่างฉะนั้น"

คำอุทานประโยคแรกหลังจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า 



แม้มีเพียงพระองค์ เพียงผู้เดียว ที่ได้พบเส้นทางสายกลางอันประเสริฐ 
ที่จะนำตนให้หลุดพ้นไปจากสังสารวัฎ อันหาเบื้องต้นและที่สุดได้โดยยาก

แต่ด้วยมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ จึงได้ออกโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย
ให้รู้เห็นตาม  ติดตามไปในเส้นทางอริยมรรค 

แค่เพียงเริ่มต้น เพียงพระองค์ แต่ก็ทำให้เกิดเส้นทางการหลุดพ้น 
ที่ผู้เดินทางไกลได้อาศัย เดินไปสู่ที่สุดแห่งทุกข์กัน 

ผ่านกาลเวลามาห้าสิบกว่ารุ่น  
อริยสงฆ์ 
สมมติสงฆ์ 
อุบาสก 
อุบาสิกา 
ได้ช่วยกันทำนุบำรุงรักษา ดูแลพระศาสนา 
เพื่อรักษาเส้นทางแห่งการตรัสรู้นี้ไว้ 
ให้ยืนยาว 
คงอยู่ 
คู่พระศาสนาตลอดไป

ขยาย ความรู้ ออกไปสู่นานาทวีป น้อยใหญ่  
ทุกมุมโลกใบนี้ 
ให้ได้มีโอกาสที่จะเข้ามาสู่เส้นทาง
แห่งการหลุดพ้น 
ด้วยวิถีแห่งความ สงบ สะอาด สง่างาม 
ไม่เบียดเบียนทั้งตนเอง และผู้อื่น 
เป็นที่พึ่งของโลก


ในแต่ละยุค พระเถระรุ่นแล้วรุ่นเล่า  
ผู้ทรงภูมิธรรม เป็นผู้นำของศิษย์ 
ทั้งชี้ ทั้งชวน 
เสมือนจุดคบเพลิงเดินนำหน้าไปบนเส้นทางสายนี้ 
เหล่าศิษยานุศิษย์ ก็ดำเนินรอยตามเถรวาทนั้น


ปีแล้ว ปีเล่า 
เดือนแล้วเดือนเล่า 
วันแล้ว วันเล่า 
หมู่คณะนั้น หมู่คณะนี้ 
สายนั้น สายนี้ 
พวกนั้น พวกนี้  
ก็เดินทางไปทางเดียวกัน 
เร็วบ้าง ช้าบ้าง  
กลางทางบ้าง ริมทางบ้าง  

ไม่ใช่เรื่องที่จะมาต่อล้อต่อเถียง 
เพราะมีจุดหมายปลายทางเดียวกัน 


ในบรรดาหมู่คณะที่กำลังเดินบนเส้นทางสายนี้ 
กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ที่ทำตามคำสั่งสอนของพระเถระ 
พระมงคลเทพมุนี สด จันทสโร 
ด้วยหลักว่า หยุดเป็นตัวสำเร็จ  
รวมกลุ่มเดินทางมายาวนาน ตลอดชีวิต


ต่อมา พระเทพญาณมหามุนี ไชยบูลย์ ธัมมชโย  
ก็รับสานต่อ นำหมู่คณะ ตามคำสอนของพระศาสดา 
และ พระเถระ มุ่งมั่นที่จะพาหมู่คณะให้ไปให้ถึงฝั่งพระนิพพาน 
ไปให้ถึงที่สุดแห่งธรรมทั้งปวง 

งานที่มองไม่เห็นถึงวันเวลาที่จะเสร็จสิ้นเมื่อใด  รู้เพียงแต่ว่า 

ขอให้ก้าวต่อไป  ก้าวต่อไป และ ก้าวต่อไป
อุปสรรค ที่ผู้ขวางการทำความดี จะต้องมีอย่างแน่นอน
จะมาในรูปของมนุษย์ที่ถูกมารเข้าสิง ให้ขัดขวางการทำความดี
หรือจะมีมาในเรื่องของความไม่พร้อม ด้านทรัพย์ ด้านสังคม 


"อุปสรรค มีไว้ให้ข้าม"  โอวาทของพระเถระ ที่ให้ศิษย์ได้นำไปใช้ ในการเดินทางไกลนี้

"ทำเฉยๆ ง่ายๆ สบายๆ "  ตลอดเส้นทาง ถึงความสำเร็จ ต้องสบาย

"หยุด นิ่ง เฉย อย่างสบายๆ"  สูตรสำเร็จ การวางใจ ทั้งง่าย กระชับ 

" เอาขนตาชนกัน"  สำหรับผู้มุ่งมั่น บีบคั้นตนเองจะเอาให้บรรลุ หรือ ดวงตาทะลุออกมาได้ ปลดปล่อยผ่อนให้สบาย

นี่เป็นตัวอย่างคำสอน ของพระเถระ ที่ชื่อว่า พระเทพญาณมหามุนี


ตลอดเวลา ห้าสิบกว่าปี ที่ท่านได้เข้าสู่เส้นทางนี้ 
แล้วได้ชี้ชวน ประคับประคอง 
นำพาศิษย์ทั้งหลายได้ติดตาม 
ท่านมา ไม่เคยมีเวลาไหนที่ท่าน
จะเว้นว่างจากการเห็นแก่ประโยชน์ 
ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย 

ทำชีวิตท่านให้ลำบาก 
ด้วยการต้องแบกภาระ นำพาหมู่คณะ 
ดูแลศิษย์ทั้งหลาย ที่มากมายไปด้วยจำนวน 
นิสัยที่แสนจะต้องเอาอกเอาใจ  
อารมณ์ที่ต้องมานั่งทนรองรับ  
น้ำคำที่ผู้ไม่รู้ทั้งหลายต่างมอบประเคนให้ 

แต่ท่าน ก็ยังมุ่งมั่นบนเส้นทางนี้ 
มิเปลี่ยนแปลง 
ทำหน้าที่นำหมู่คณะ 
เป็นอาจารย์ที่แสนมหัศจรรย์ ของศิษย์ 
ที่ปฏิบัติตามหลัก เถรวาทโดยแท้

เป็นอาจารย์หนึ่งเดียว ที่ศิษย์ขอติดตาม...

มหัศจรรย์Oneพระ... 

กราบ กราบ กราบ

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

บ่าวฆ่านาย


แก้วน้ำใบเดียว..

ให้ข้อคิดได้ตั้งมากมาย

ทำให้นึกถึงเรื่องราว เยอะแยะที่หลั่งไหลเข้ามา

นึกถึงเรื่องในชาดก
นึกถึงเรื่อง ตอนที่หลวงพ่อยังอยู่ที่วัดที่ท่านบวช
นึกถึงตอนที่มีเจ้าใหญ่นายโต มาเยี่ยมวัดเมื่อตอนที่วัดสร้างใหม่ๆ
นึกถึงคำสอนเรื่อง คารวะในการปฏิสันถาร..

ถึงเจ้าหน้าที่ต้อนรับ ทุกผู้คน

ธรรมดาของการทำงานก็จะมี คนที่ดูแลเรา คนที่เราดูแล และคนที่อยู่ในระดับเดียวกับเรา

ขอเน้น ตรงที่ คนที่ดูแลเรา 
หัวหน้าเรา 
ผู้บังคับบัญชาเรา 
ผู้ที่เราเคารพรัก 
ครูบาอาจารย์ของเรา 
ผู้ใหญ่ที่ไปมาหาสู่ 

หรืออีกจำพวกหนึ่งคือคนที่ให้คุณให้โทษกับเราได้ 
คนที่เราควรให้การดูแลเป็นพิเศษ 
เช่น เป็นคนที่พูดอะไรแล้วคนเชื่อ 
ประเภทนักข่าว นักประชาสัมพันธ์ 

วันนี้ไปร่วมงานๆหนึ่ง นั่งอยู่ข้างๆ ประธานในพิธี  
น้ำที่เจ้าหน้าที่มาเสิร์ฟ ก็เป็นถ้วยพลาสติกธรรมดา 
เหมือนทุกคน 
แต่ของท่านประธานเป็นแบบพิเศษขึ้นมาอีกนิดนึง 
ก็ไม่ได้วิเศษอะไรหนักหนานัก

แต่ก็ให้ข้อคิด ร่วมงานไป ก็มองไปที่แก้วนั้น 
ความคิดเหล่านี้ก็แล่นผ่านไปมา

ถ้า....

ผู้ที่มาเป็นประธาน กับคนที่นั่งร่วมกันกับท่านประธาน 

ถ้าศักดิ์ศรีเสมอกัน แต่เจ้าหน้าที่จัดไม่เท่ากัน ผลเป็นอย่างไร
ถ้าศักดิ์ศรีสูงกว่า แล้วจัดให้ ด้อยกว่า จะเป็นอย่างไร
ถ้าศักดิ์ศรีต่ำกว่า แล้วจัดให้ เท่ากัน จะเป็นอย่างไร

ผลทั้งหมดคงพอคิดกันออก 
ถ้าพยายามคิดสักนิด
แล้วเราผู้น้อยจะทำอย่างไง ถ้าเราก็ไม่รู้ว่า ใครเป็นใคร

คนที่กล้านั่งลงตรงที่นั่งประธาน หรือนั่งเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับประธานนั้น 
เราจะไปรู้ได้อย่างไร ว่ามีความเป็นมาอย่างไร 
ก่อนที่จะเสนอวิธีให้ ลองนึกทบทวนเรื่องเหล่านี้สักนิด


ในชาดก เรื่องที่เศรษฐีท่านหนึ่ง มีธุรกิจปศุสัตว์ 
แปรรูปอาหารหลากหลาย เมื่องานขยายไปมากขึ้น 
ผลกำไรกลับลดลงแบบน่าใจหาย 
เศรษฐีให้หาสาเหตุว่าเพราะเหตุใด 
กลับกลายเป็นเพราะสุนัข
ของท่านเศรษฐีที่รักมากตัวเดียว 
นอนในรางหญ้า ที่วัวจะต้องไปกิน 
ใครก็ไม่กล้ายุ่ง เพราะเป็นสุนัขมีเจ้าของ 
ก็เกิดปรากฏการณ์ลูกโซ่  
วัวกินหญ้าน้อย 
เนื้อน้อย นมน้อย 
 ทำไร่ ไถนาไม่ไหว 
ผลผลิตน้อย 
ต้นทุนมากขายได้น้อย 
ขาดทุนเห็นๆ เพราะ ....  สุนัขเจ้านาย 

หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ฟังว่า 
ตอนท่านอยู่ที่วัดที่ท่านบวช 
เนื่องจากมีการรวมกลุ่มทำสมาธิกันมา
ตั้งแต่ยังไม่บวช 
เห็นถึงข้อวัตรปฏิบัติของท่านมา
ตั้งแต่ยังไม่ได้บวช 
พอบวชแล้วก็มีคนสมัครเป็นศิษย์เลย 
วันหนึ่งเดินแถวไปลงอุโบสถ 
พระใหม่ก็ต่อท้าย  
ศิษย์ทั้งหลาย ไหว้พระมหาเถระหัวแถว 
แล้วก็เอามือลง 
พระทั้งวัดเป็นร้อยรูปเดินผ่าน ก็เฉยๆ 
พอพระใหม่ท้ายแถวเดินมาถึง 
กลับลงไป กราบ ด้วยความศรัทธา
และเคารพเต็มเปี่ยมจากหัวใจ 
มีเสียงลอยลมมาจากพระเก่าๆ  ด้วยความชื่นชม 
"ใหญ่จริงนะ"     
โยมชื่นชมปลื้มปริ่ม พระใหม่หนาวยะเยือก
.... เฮ้อ ศิษย์อาตมา

ตอนที่ย้ายออกมาแล้วสร้างวัดใหม่เอง 
มีเจ้าใหญ่นายโต มาร่วมสร้างวัดด้วย 
คนที่ไปบริการ เอาแก้วพาสติกไปให้เจ้านายท่านนั้นใช้ 
ผู้ที่ดูแลถึงกับสะอึก รีบเข้ามาห้าม
บอกให้ไปเอาแก้ว 
คนวัดยังไปเถียงว่า
แก้วให้พระ  
ฆราวาสให้ใช้พสาติก  
เค้าบอกว่าของสมเด็จฯเนี่ยนะ  
คนวัดทำตาใสๆ 
ถามว่า สมเด็จฯวัดไหน... เอวัง..  
อาจารย์คงจะมีความสุข  มีศิษย์รักแบบนี้
..ก็แค่เสิร์ฟน้ำน่ะนะ

ฟังหลวงพ่อสอนเรื่อง ปฏิสันถารคารวตา 
ทำไม่ดี เหมือนมีโปสเตอร์เคลื่อนที่
ประจานความไม่ดีของเราไปตลอดชีวิต  
ฟังแล้ว ไปซึ้งตอนที่ต้องไปอยู่ต่างประเทศ  
เงินทองก็หายาก ใครไปใครมา ก็แวะเวียนมาหา 
ต้อนรับขับสู้ กันเต็มกำลัง ทำอย่างดี 
เพราะคำที่หลวงพ่อพูดมันจะมาก้องในหู
ตอนที่เราจะบอกตัวเราเองว่า 

เอาวะแค่นี้แหละพอแล้ว 

ก็เลยต้องเปลี่ยนเป็น 

เอาวะ เอาให้ปลื้มกันไปเลย 

แล้วผลก็ออกมาจริงๆ ใครไปแล้วก็ชื่นชม 
บอกต่อๆ คนอยู่ก็ปลื้ม โยมของวัดนี้ก็ภูมิใจ 
ที่เป็นหนึ่งในการสร้างวัด 
เพราะเสียงชื่นชม คนปลื้มก็บอกต่อ 
บอกต่อคนมาก็มามากขึ้น 
นี่ไม่ต้องพูดถึงยศถาบรรดาศักดิ์  
สรุปได้เลยว่าถ้าจะเผยแผ่ ต้องมีปฏิสันถาร  
ยิ่งทำปฏิสันถารดี เผยแผ่ยิ่งไปได้กว้าง

ดังนั้น เมื่อเรายังทำงานมีหน้าที่ที่ต้องดูแล ต้อนรับ 
ความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย ย่อมส่งผลต่อคนที่ดูแลเรา 
คนที่เป็นหัวหน้าเรา และตัวเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทางที่ดี ก็จัดให้ดีๆ แบบเต็มที่ เท่าเทียมกัน 
ไว้สักแถวหน้าทั้งแถบนั้นแหละ 
พวกท่านพวกเธอ ที่อยู่ข้างหน้าเหล่านั้น 
ไม่สะดุด  งานก็ไม่สะดุด  
หนทางสะดวก อะไรก็ลื่นไหล

จริงไหม  

อีกอย่าง ก็คือการประกาศเรียกชื่อ ตรวจตราให้ดี 
อย่าให้เป็นอย่างที่เค้าว่าให้คนไม่รู้เรื่อง 
ไม่รู้ความไปประกาศ

" ขอให้ท่านผู้ว่าฯ ได้เป็นนายอำเภอโดยเร็วไว  
ไชโย ไชโย ไชโย"

น่าสงสารนายมันจัง....

วิ.19 สค.59







วันพฤหัสบดีที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ต้นคดปลายตรง ยอดลู่รากแน่น




ต้น คด ปลาย ตรง


ทำเส้นทางชีวิตเป็นไผ่ที่ปลายตรง 
ต้นจะคดอย่างไร ก็ให้ปลายตรง 
ได้มาพบเส้นทางสร้างบารมี รักษาความดี 
สร้างให้ได้ตลอด ไม่คดไปไหน


ยอด ลู่ ราก แน่น


ให้ศรัทธาเข้มแข็งเหมือนไผ่ 
ลมมาทางไหน ก็สามารถ ไปตามลมได้ 
แต่ไม่เคย ถอนราก คือศรัทธาในพระรัตนตรัย 


การดำเนินชีวิตในยุคนี้ อะไรๆ ก็รวดเร็วไปหมด 
แต่อย่าทำให้เราใจเร็ว ด่วนได้ ไปด้วย
อะไรที่ไม่อยู่ในศีล ไม่อยู่ในธรรม  
แม้ว่าไม่ผิดกฎหมายแต่ผิดกฎแห่งกรรม 
สุขสบายในชาตินี้ไม่กี่ปี แต่ต้องไปทนทรมาน
อีกหลายชาติ ก็ไม่คุ้มค่าอะไร 
ที่คนอย่างพวกเราจะไปเกี่ยวข้อง

การทำตัวแบบไผ่ ต้นคดปลายตรง ยอดลู่รากแน่น 
พวกเรามากันถึงวันนี้ เราก็ผ่านร้อนผ่านหนาว
มามากแล้ว เคยทำผิดพลาดอะไรกันไปก็ตาม 
อย่างที่หลวงพ่อธัมมชโยได้แนะนำว่า 
ให้ลืมให้หมด แล้วก็เริ่มทำความดีเรื่อยไป 
ทำเรื่อยไปจนตลอด 

แม้ว่าถึงช่วงที่เราโหมทำความดี 
คนรอบข้าง บ้านเมือง ภาครัฐ 
ก็สารพัดจะหาเรื่องราวมา 
เราก็เอาอย่างไผ่ที่ต้องทนกระแสลม
ที่โหมกระหน่ำมาทุกทิศทาง 
แม้จะโอนอ่อนผ่อนตามไปตามกระแสบ้าง
เพื่อลดแรงกระแทก แต่ก็ไม่ตกลงไป
ในกระแส เหล่านั้น กลับยึดมั่น
อยู่บนอุดมการณ์ที่มุ่งมั่น ไม่ยอมถอยกลับไป
ตามกระแส ต้องยึดมั่นคุณความดีอย่างเดียว 

คนอย่างพวกเราชาวธรรมกาย 
นอกจากทำความดีแล้ว เราจะไปทำอะไรได้  
มีเวลาเราก็ไปทำบุญ
มีปัจจัยเราก็เอาไว้ทำบุญ
มีพ่อชวนพ่อทำบุญ
มีแม่ชวนแม่ทำบุญ
มีเพื่อน พี่น้อง ก็ชวนทำบุญ
นอกจากบุญแล้ว เราก็ไม่อยากทำอะไร 

ถึงขนาดนี้แล้ว นึกว่าชาตินี้จะได้
ทำบุญสบายๆ ไปตลอดชาติ 
เค้าว่าทะเลไม่เคยหลับ มีลมมีคลื่นซัดตลอด
ชีวิตนักสร้างบารมีก็คงเช่นกัน 
คงไม่ได้เดินบนสายกลีบกุหลาบ

ยิ่ง ณ วันเวลาอย่างนี้ ผู้ที่ขัดขวาง
การทำความดี มาในรูปของความอยุติธรรม 
กำลังเข้ามาคุกคามดุจลมทั้งสี่ทิศ 
โหมกระหน่ำเข้ามาสู่ไผ่ 
คือพระพุทธศาสนา แทบจะถอนรากถอนโคน 

เราท่านทั้งหลาย ต้องมาช่วยกันประคอง 
รักษา ไผ่ต้นนี้ให้ยืนยงคงอยู่สืบไป 
ด้วยวิธีการธรรมชาตินี่แหละ  
รดน้ำพรวนดิน หยั่งรากคือ 
ศรัทธาในพระศาสนา 
ทำคุณงามความดีให้แน่นแฟ้น 
ยึดมั่นคุณธรรม บุญกุศล 
ทำความบริสุทธิ์ กาย วาจา ใจ ให้บังเกิด

เราเชื่อมั่นในพุทธพจน์ ว่า  
"ธรรมย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม "  
ความบริสุทธิ์ของเรา 
จะเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ 
ที่จะพาพระพุทธศาสนา วิชชาธรรมกาย 
หลวงพ่อและตัวของเราให้พ้นจากวิกฤตในครั้งนี้


วิ. 18 สค 59

คำเขียนเอง
ภาพวาดเอง




วันเสาร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ชายผ้าเหลือง

เห็นบทความนี้ส่งผ่านกันมาทางไลน์ เห็นแล้วให้นึกชอบ อยากเก็บเอาไว้ เป็นเรื่องของการอธิบาย อานิสงส์ของการบวชแทนคุณบิดามารดา  สั้นๆ ได้ใจความ 




ชายผ้าเหลือง 

                 เป็นสำนวน หมายถึง ผ้าเหลืองที่พระสงฆ์นุ่งห่ม 

                ในหนังสือสุบินกลอนสวด ของโบราณ มีเรื่องว่า นางสุภาวดี มีบุตรชื่อสุบินได้บวชเณร ส่วนนางทำบาปมาก พระยมจึงมาเอาตัวนางไปทำโทษในเมืองนรก ยมบาลพาไปที่หม้อไฟกัลป์ 

กาพย์ฉบัง ๑๖​​ 

๏ นางเจ็บร้องไห้ร่ำไร,               แลเห็นชุติ์ไฟ, 
ตกใจเพียงจักม้วยมรณ์ ฯ
๏ นางว่าแสงเพลิงเหลืองอ่อน,  เหมือนชายจีวร,  
ลูกผู้บวชเป็นเณร ฯ
๏ ประฏิบัติรักษาพระเถร,        เรียนธรรมจะเจน, 
ขอบุญมาช่วยมารดา ฯ 


       พอยมบาล ทิ้งลงในกองไฟ ก็เกิดเป็นดอกบัวทองขึ้นมารับ ในที่สุดยมราชก็ปล่อยให้นางกลับขึ้นมาเมืองมนุษย์ 

       สุบินกลอนสวดนี้ เป็นหนังสือเก่า 

           เป็นความนิยมของคนไทยมาแต่โบราณว่าการบวชนั้นเป็นกุศลช่วยให้บิดามารดาพ้นนรกได้ เช่นในเรื่องนางสุภาวดี เห็นไฟนรกมีสีเหลืองเหมือนชายจีวร ทำให้ระลึกถึงลูกชายที่บวช เลยพ้นจากไฟนรก “ชายผ้าเหลือง” จึงเป็นสำนวนที่พูดกัน หมายถึง “ชายจีวร” ที่ลูกชายบวชให้บิดามารดา 



            ในเรื่องสุบินนี้ บิดาของสุบินเป็นนายพราน ตายไปเป็นเปรตรอยู่ในนรก พอเจ้าสุบินซึ่งบวชเป็นเณร มีอายุครบบวชเป็นพระ บิดาที่เป็นเปรตก็พ้นจากทนทุกข์อยู่ในนรก ได้ขึ้นสวรรค์ทันที โบราณจึงถือกันว่า “บวชเณรให้แม่ บวชพระให้พ่อ” คือ จะช่วยให้พ่อแม่ได้ไปสวรรค์ มีคำพูดว่า “ยึดชายจีวรลูกไปสวรรค์” 

               “ข้าพเจ้าได้ยินอยู่เนือง ๆ ตามชาวบ้าน บางคนมีแต่บุตรหญิง ไม่มีบุตรชาย เห็นบุตรชายคนอื่นบวชเป็นสามเณร ก็พากันบ่นว่า บุญของเขา เขาได้เห็นชายผ้าเหลืองลูกชาย น่าปลื้มอกปลื้มใจ ถ้าลูกของเราเป็นชาย ได้บวชเช่นนี้ เราจะชื่นใจ หาน้อยไม่” 
                              ( ปัญหาพยากรณ์ ) 

------------ 
~ ที่ไปที่มา : หนังสือสำนวนไทย 
ฉบับของขุนวิจิตรมาตรา ( สง่า กาญจนาคพันธุ์ ) ผู้แต่ง 
คัดจากเล่ม จัดทำโดยสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี ( ไทย-ญี่ปุ่น ) พ.ศ. ๒๕๔๑



ยังไม่ได้บวช ก็บวชเถอะ
บวชแล้วสึกออกไป 
เห็นโลกแล้วก็ไม่มีอะไร  
ก็กลับมาบวชเถอะ
บวชเองไม่ได้ ก็ให้ลูก ให้หลานบวช 
เป็นเจ้าภาพให้ก็ยังมีบุญพอปิดอบาย  

บวชเถอะ  .... แล้วก็อยู่ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนา